ปฏิเสธไม่ได้ว่าพอศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ มาเริ่มใช้เทคโนโลยี VAR ในฤดูกาลนี้ ก็ทำให้เทคโนโลยีถูกหยิบยกมาพูดถึงอีกครั้ง เพราะแค่ 2 สัปดาห์แรก ก็มีเหตุให้ต้องพูด ต้องถกถึงข้อดีและข้อเสียของมันแล้ว
แน่นอนว่ามีทั้งฝ่ายที่ชอบและไม่ชอบ แต่ในเมื่อเราเป็นแค่แฟนบอล ยังไงก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ฉะนั้นเรามามองข้อดีของมันกันเถอะเน๊อะ และนี่คือ 4 ข้อดีของการมี VAR
เป็นที่พูดถึงกันมาตลอดในช่วงหลังมานี้ เกี่ยวกับการร้องขอให้นำ VAR หรือวีดีโอช่วยตัดสิน มาใช้ในเกมการแข่งขันฟุตบอล เฉกเช่นกับกีฬาอื่น ๆ เพราะทั้งบรรดานักฟุตบอล โค้ช หรือแม้กระทั่งแฟนบอล ก็คงเคยได้หรือเสียประโยชน์จากการตัดสินที่ผิดพลาดของเชิ้ตดำมาบ้างแล้ว ซึ่งคงไม่มีใครกล้าที่ปฏิเสธ หากนั้นเป็นผลประโยชน์ที่เข้าข้างทีมของคุณ
แต่หากเกิดคุณหรือทีมรักของคุณ เคยผ่านประสบการณ์อันเลวร้ายจากการตัดสินพลาดของผู้ตัดสิน นี่ก็เป็นโอกาสที่ดีแล้ว ที่จะได้เห็นความยุติธรรมที่จะเกิดขึ้นบนผืนหญ้า เพราะเจ้าเทคโนโลยีตัวใหม่นี้ จะช่วยให้ผู้ตัดสินทำงานได้อย่างถูกต้องมากขึ้น
เพราะการทำงานของ VAR คือให้ผู้ตัดสินจำนวน 2 คน ประจำการอยู่ที่ห้องส่งและข้างสนาม ซึ่งมีจอมอนิเตอร์ ลิงค์สัญญาณจากกล้องถ่ายทอดสดความละเอียดสูงหลายตัวๆ มาให้ดู และหากผู้ตัดสินหลักต้องการดูภาพก็ ทางทีมก็จะเช็คจากภาพเดียวกันกับที่ออกไปทางทีวีและส่งผลกลับไปยังผู้ตัดสินหลัก
แน่นอนว่าเสียงบ่นมีเข้ามามากมาย แม้ว่า VAR จะเพิ่งถูกนำมาใช้ได้ไม่นานก็ตาม โดยเฉพาะเสียงที่บุนออกมาว่า การใช้เจ้าเทคโนโลยีนี้ มันทำให้เสียเวลาในการรีเพลย์ภาพไปดูและอาจทำให้เกมดูยืดเยื้อ หมดความสนุก ไร้ซึ่งเสน่ห์ของเกมกีฬาฟุตบอล
แต่คุณลองคิดดูดี ๆ ช่วงจังหวะของเกมที่นักเตะแต่ละฝ่ายเล่นเพื่อถ่วงเวลา หรือแม้กระทั่งการถกเถียงกับผู้ตัดสินเมื่อไม่พอใจในคำตัดสิน ก็กินเวลาได้ไม่แพ้การขอดู VAR เลยด้วยซ้ำ
และหากคุณลองไปย้อนดูเกมคอนเฟดฯ เวลาที่เสียไปกับการขอดูภาพรีเพลย์ มันไม่ได้หมดไปเป็น ๆ นาทีเลย เพราะใช้เวลาแค่ประมาณ 30-40 วินาทีเท่านั้น ก็ช่วยให้เราได้เห็นการคำตอบของข้อสงสัยอย่างถูกต้อง เราก็จะได้ไม่ต้องมานั่งครหากันว่า ทีมโน้นทีมนี้ซื้อกรรมการ ผู้ตัดสินไร้ความสามารถ ไลน์แมนตาถั่ว ก็จะได้หมดลงไปจากโลกฟุตบอลเสียที
มีบ่อยครั้งที่เราอาจจะได้เห็นว่าผู้เล่นบางรายนั้น มีการแสดงตบตาผู้ตัดสินได้อย่างแนบเนียน ชนิดที่ดาราที่ได้รับรางวัลออสก้าร์ยังต้องอายเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการเรียกใบเหลือง ใบเหลืองที่สองและเป็นแดง หรือใบแดงโดยตรง รวมถึงเคสการพุ่งล้มเพื่อเอาฟรีคิก จุดโทษก็ด้วย
อย่างเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาในศึก พรีเมียร์ลีก เอาก็เห็นหลายเกมด้วยกันที่ผู้เล่นพุ่งตัวเพื่อเรียกจุดโทษให้กับทีม และมันก็เป็นผลดีซะด้วย เมื่อพวกเขาได้รับจุดโทษจากการกระทำที่ไร้ซึ่งสปิริต เพราะผู้ตัดสินเองไม่ได้มานั่งดูรีเพลย์เหมือนอย่างเรา ๆ ผ่านน่าจอ ก็เลยไม่สามารถให้คำตัดสินได้อย่างที่ใคร ๆ บ่นกัน
เชื่อได้ว่าหากมีการนำ VAR มาใช้อย่างจริงจัง จะต้องทำให้พวกที่ชอบทิ้งตัวลงนอนเมื่อเข้าใกล้เขตโทษหรือล้มง่าย ๆ เมื่อโดนสะกิด อาจจะต้องคิดให้หนัก ๆ เลยว่าจะได้คุ้มเสียหรือไม่ เพราะโทษของการตบตาผู้ตัดสินก็คือได้ใบเหลือง
บ่อยครั้งเหมือนกัน ที่มักจะมีบรรดาผู้เล่นที่มักจะเล่นด้วยความสกปรก ตุกติก และมักเล่นนอกเกมใส่คู่ต่อสู้อยู่เสมอ ๆ ซึ่งบางทีผู้ตัดสินก็คงไม่สามารถมองเห็น และทันจังหวะดังกล่าวได้ มีแต่ท่านผู้ชมทางบ้านหรือคนดูในสนามที่มักจะเห็นกันเสียมากกว่า แต่อย่างน้อย ๆ ก็ยังมีการแบนย้อนหลังให้พอได้โล่งใจบ้าง
แต่หากนำ VAR เข้ามาใช้ อย่างน้อย ๆ ก็น่าจะขู่พวกนักเตะที่คิดจะเล่นสกปรก ๆ ได้บ้างแล้ว หรือหากมันเกิดขึ้นจริง ๆ ระหว่างเกม เราก็จะได้จัดการได้อย่างถูกต้องว่าใครเป็นต้นเหตุต้นตอของการทะเลาะวิวาทหรือทำให้เกมมีความรุนแรง ไม่ต้องให้ผู้ตัดสินมาวิ่งไปมา คอยถามไลน์แมนที ถามผู้ตัดสินที่ 4 ที แถมยังไมาชัวร์ว่าจะได้คำตอบที่ถูกต้องหรือเปล่าด้วย
เชื่อว่าหลายคนคงคุ้น ๆ ข่าวที่ว่าผู้ตัดสินบางรายถูกลดชั้นให้ไปตัดสินยังลีคที่ต่ำกว่า ซึ่งบางคนก็อาจจะรู้สึกสะใจเล็ก ๆ ที่เห็นเขานั้นถูกกระทำแบบนั้น และหากมาพิจารณาดี ๆ ว่าสิ่งที่แบบนั้นอาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ ถ้าหากในเวลานั้นมีการใช้ VAR มาตั้งนานแล้ว
นอกจากเหล่าแฟนบอล นักเตะ หรือโค้ช จะมีความเครียดในผลตัดสินเป็นอย่างมาก แต่เชื่อเถอะว่ากรรมการเองก็กดดันไม่แพ้กันเลย เพราะนอกจากตัดสินตามที่ตนเองเห็น หรือแม้กระทั่งปรึกษากับทีมงาน ผลมันก็ไม่ได้ออกมาถูกต้องไปซะทุกครั้ง
ดังนั้น สิ่งนี้จะทำให้พวกเขาสามารถทำหน้าที่ได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์มากที่สุด ก็คงเป็นการนำเทคโนโลยีนี้เขามาช่วยใช้ในการตัดสิน นอกจากจะลดความผิดพลาด และยังทำให้เกมได้ผลอย่างยุติธรรมมาก ๆ ด้วย